เรามนุษย์พึ่งพาพลังงานในการดำรงชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การสร้างความร้อนภายในบ้าน ไปจนถึงการขนส่งสินค้าและการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค พลังงานสิ้นเปลืองถือเป็นแหล่งพลังงานหลักที่มนุษยชาติใช้มาเป็นเวลานาน แต่การพึ่งพาพลังงานของปลั๊กไฟเกาหลีประเภทนี้อย่างมากเกินไปได้ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงจากต่อสิ่งแวดล้อม และวันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับพลังงานสิ้นเปลืองมีอะไรบ้าง และส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอย่างไรมาดูรายละเอียดของบทความนี้กันได้เลย
พลังงานสิ้นเปลืองคืออะไร
พลังงานสิ้นเปลือง คือพลังงานที่ได้มาจากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีปริมาณจำกัด เช่น น้ำมันดิบ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ เมื่อนำพลังงานเหล่านี้มาใช้งาน จะก่อให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษออกสู่บรรยากาศ ส่งผลให้เกิดปัญหาสภาวะโลกร้อนและมลพิษทางอากาศ
พลังงานสิ้นเปลืองมีกี่ประเภท
พลังงานสิ้นเปลืองเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามลักษณะการเกิด ดังนี้
1. พลังงานฟอสซิล
เป็นพลังงานที่เกิดจากการสะสมตัวของซากพืชและซากสัตว์ในอดีตกาลนานนับล้านปีจนกระทั่งเปลี่ยนสภาพไปเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ซึ่งมีการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรม การคมนาคม และการผลิตพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงและราคาไม่แพง อย่างไรก็ตาม พลังงานฟอสซิลเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป จึงจำเป็นต้องมีการจัดการอย่างรัดกุมและพัฒนาแหล่งพลังงานทดแทนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
2. พลังงานนิวเคลียร์
เป็นพลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ของสารกัมมันตรังสีซึ่งปล่อยพลังงานความร้อนออกมา โดยนำพลังงานความร้อนนี้มาใช้ในการผลิตไอน้ำเพื่อหมุนกังหันไฟฟ้า ถือเป็นพลังงานสะอาดที่มีประสิทธิภาพสูงและไม่ก่อให้เกิดมลพิษ แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและการจัดการกากกัมมันตรังสีที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
ทั้งสองประเภทของพลังงานสิ้นเปลืองนี้ ควรมีการบริหารจัดการและใช้งานอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกอื่น ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
แหล่งพลังงานสิ้นเปลืองมีอะไรบ้าง
แหล่งพลังงานสิ้นเปลืองมีดังนี้
ปิโตรเลียม (PETROLEUM)
น้ำมันปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าและมีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน น้ำมันดิบเกิดจากการสะสมและสลายตัวของซากพืชซากสัตว์และแร่ธาตุบางชนิด ภายใต้สภาวะความดันและอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นเวลานานนับล้านปี จนกลายเป็นของเหลวประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีองค์ประกอบหลักคือคาร์บอนและไฮโดรเจน โดยอาจปนเปื้อนด้วยธาตุอื่น ๆ เช่น กำมะถัน ออกซิเจน และไนโตรเจน
น้ำมันดิบจะถูกสูบขึ้นมาจากใต้ผิวโลกทั้งบนบกและในทะเล แล้วนำไปผ่านกระบวนการกลั่นเพื่อแยกเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา รวมถึงวัสดุที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พลาสติก ยาง สี และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี นอกจากนี้น้ำมันดิบยังเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในการผลิตกระแสไฟฟ้าและขับเคลื่อนยานพาหนะต่าง ๆ
แม้น้ำมันดิบจะเป็นทรัพยากรที่มีประโยชน์อย่างมากต่อมนุษยชาติ แต่เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป จึงควรมีการใช้อย่างรู้คุณค่าและระมัดระวัง รวมทั้งควรส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืนเพื่อทดแทนการใช้น้ำมันดิบในอนาคต
ก๊าซธรรมชาติ (NATURAL GAS)
ก๊าซธรรมชาติถือเป็นหนึ่งในเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและได้รับการยอมรับในการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในรูปแบบของก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และประกอบด้วยสารประเภทไฮโดรคาร์บอนอย่างมีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน และเพนเทน รวมถึงมีกำมะถันปะปนอยู่ในปริมาณเล็กน้อย ก๊าซธรรมชาติมักพบในแหล่งธรรมชาติต่าง ๆ เช่น เหมืองถ่านหิน บ่อก๊าซ หรือแหล่งน้ำมันปิโตรเลียมใต้ดิน
จุดเด่นของก๊าซธรรมชาติคือความสามารถในการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์และปล่อยมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อมในปริมาณที่น้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับถ่านหินหรือน้ำมันดิบ การเผาไหม้ก๊าซธรรมชาติจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในปริมาณที่น้อยกว่า นอกจากนี้ยังมีการปล่อยมลพิษอื่น ๆ อาทิ ฝุ่นละออง ออกไซด์ของไนโตรเจน และออกไซด์ของซัลเฟอร์ในระดับที่ต่ำกว่าด้วย ด้วยเหตุนี้ก๊าซธรรมชาติจึงถือเป็นทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลประเภทอื่น ๆ
ปัจจุบันก๊าซธรรมชาตินำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายในหลากหลายระดับ ตั้งแต่การใช้ในครัวเรือนสำหรับประกอบอาหารและให้ความร้อน ไปจนถึงภาคอุตสาหกรรมและการคมนาคมขนส่ง อาทิ เป็นเชื้อเพลิงสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมหรือใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ การมีทางเลือกในการใช้เชื้อเพลิงสะอาดอย่างก๊าซธรรมชาตินี้จึงนับเป็นส่วนสำคัญในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
ถ่านหิน (COAL)
ถ่านหินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าและเป็นแหล่งพลังงานสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของโลก เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาที่ซากพืชสะสมทับถมกันเป็นเวลานานนับล้านปี ภายใต้ความกดดันและอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ซากพืชเหล่านั้นค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพเป็นถ่านหินประเภทต่าง ๆ ตามระดับการเปลี่ยนแปลง
องค์ประกอบหลักของถ่านหินคือ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน เมื่อนำมาเผาไหม้จะปลดปล่อยพลังงานความร้อนออกมาในปริมาณมหาศาล ทำให้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดสำคัญที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าและความร้อนสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
แม้ว่าการใช้ถ่านหินจะก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่ด้วยปริมาณสำรองที่มีอยู่อย่างมหาศาล ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าแหล่งพลังงานอื่น ๆ ทำให้ถ่านหินยังคงเป็นทางเลือกหลักในการผลิตพลังงานของหลายประเทศทั่วโลก การพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดมลพิษจากการเผาไหม้ถ่านหิน จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากถ่านหินได้อย่างยั่งยืนต่อไป
นิวเคลียร์ (NUCLEAR ENERGY)
นิวเคลียร์เป็นแหล่งพลังงานที่มาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ภายในนิวเคลียสของอะตอม ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคพื้นฐานคือโปรตอนและนิวตรอน เมื่อมีการแตกตัวหรือการรวมตัวของนิวเคลียส จะปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของความร้อนและรังสี พลังงานนิวเคลียร์นี้สามารถถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลากหลายด้าน
- ในด้านพลังงาน พลังงานความร้อนที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์สามารถนำไปผลิตไอน้ำ เพื่อขับเคลื่อนกังหันไอน้ำในการผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อนเรือเดินสมุทรและยานอวกาศได้อีกด้วย
- ในทางการแพทย์ รังสีจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ถูกนำมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค เช่น การฉายรังสีรักษามะเร็ง การใช้ไอโซโทปกัมมันตรังสีในการสแกนร่างกาย เป็นต้น
- ด้านอุตสาหกรรม พลังงานจากรังสีนิวเคลียร์สามารถใช้ในการเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เคมี และชีวภาพได้ เช่น การฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ในอาหาร การแปรรูปพลาสติก เป็นต้น
- สำหรับการเกษตร เทคโนโลยีนิวเคลียร์สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงและขยายพันธุ์พืชผ่านการฉายรังสี รวมถึงการใช้ฉายรังสีในการกำจัดแมลงศัตรูพืช
ดังนั้น พลังงานนิวเคลียร์จึงเป็นพลังงานที่มีประโยชน์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายสาขา แต่ก็ควรมีการควบคุมดูแลความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เนื่องจากผลกระทบจากรังสีอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้หากขาดการจัดการที่เหมาะสม
ผลกระทบของพลังงานสิ้นเปลืองมีอะไรบ้าง
พลังงานสิ้นเปลืองกำลังทำลายสภาพแวดล้อมของเราอย่างรุนแรง การใช้พลังงานจากฟอสซิลเชื้อเพลิงอย่างถ่านหินและน้ำมันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมลพิษในรูปแบบต่าง ๆ ส่งผลเสียอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศน์ เริ่มจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันได้แก่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ก๊าซเหล่านี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ขังความร้อนไว้ในชั้นบรรยากาศทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น นำไปสู่ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ยังมีมลพิษทางอากาศอื่น ๆ อีก อาทิ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก สายไฟบ้าน ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนออกไซด์ สารเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาหมอกควันและฝนกรด ทำลายป่าไม้และส่งผลร้ายต่อระบบทางเดินหายใจของสิ่งมีชีวิต การขุดเจาะและการขนส่งน้ำมันยังอาจทำให้เกิดการรั่วไหลเป็นบริเวณกว้าง ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำอย่างร้ายแรงและทำลายระบบนิเวศน์ในมหาสมุทรได้
สรุป
ในยุคปัจจุบันที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสภาวะโลกร้อนและมลพิษอย่างรุนแรง การใช้พลังงานสิ้นเปลืองจากทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัด เช่น น้ำมันดิบ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ได้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว เมื่อนำพลังงานเหล่านี้มาใช้งาน จะก่อให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษออกสู่บรรยากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลกระทบจากการใช้พลังงานสิ้นเปลืองเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในปัจจุบัน ทั้งในรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น และปัญหามลพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และระบบนิเวศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ที่มีการใช้พลังงานสิ้นเปลืองอย่างมหาศาลการหันมาใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทดแทนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่มนุษยชาติต้องให้ความสนใจอย่างจริงจัง เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานสิ้นเปลืองและช่วยรักษาสภาพแวดล้อมของโลกให้ยั่งยืนต่อไป
กิตติวงษ์ จันทุม เป็นวิศวกรที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 15 ปีในอุตสาหกรรมสอบเทียบเครื่องมือวัด เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสอบเทียบอุปกรณ์วัดต่างๆ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดแรงดัน เครื่องวัดระดับเสียง และอื่นๆ กิตติวงษ์ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อรับรองความสามารถในการสอบเทียบตามมาตรฐานสากล