การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน หรือ PREVENTIVE MAINTENANCE (PM) เป็นกระบวนการสำคัญที่สายงานผลิตไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเป็นการดูแลและบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในโรงงานอย่างเป็นระบบ โดยมีการวางแผนตรวจสอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและลดโอกาสการหยุดทำงานของเครื่องจักรอย่างไม่คาดคิด การทำ PM ช่วยให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่เกิดจากความเสียหายรุนแรง และยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในสถานที่ทำงานและประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมจากกระบวนการผลิตสมัยใหม่อีกด้วย
ประเภทของ PREVENTIVE MAINTENANCE
การบำรุงรักษาเชิงป้องกันสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
- การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามระยะเวลา (TIME-BASED PREVENTIVE MAINTENANCE) โดยจะถูกกำหนดตามช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น รายสัปดาห์ รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์และเครื่องจักรจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การบำรุงรักษาประเภทนี้เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่มีการใช้งานอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะเสื่อมสภาพตามเวลา เช่น การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง การตรวจสอบและทำความสะอาดระบบระบายความร้อน เป็นต้น
- การบำรุงรักษาเชิงป้องกันตามปริมาณการใช้งาน (USAGE-BASED PREVENTIVE MAINTENANCE) เป็นวิธีการที่เน้นการบำรุงรักษาตามปริมาณการใช้งานจริงของอุปกรณ์ เช่น การบำรุงรักษาเครื่องจักรหลังจากที่ใช้งานครบจำนวนชั่วโมงที่กำหนด หรือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหลังจากที่รถยนต์วิ่งครบระยะทางที่กำหนด วิธีการนี้มีความแม่นยำมากกว่าการบำรุงรักษาตามระยะเวลา เนื่องจากสามารถป้องกันความเสียหายได้อย่างทันท่วงทีตามการใช้งานจริงของอุปกรณ์
ประโยชน์ PREVENTIVE MAINTENANCE
- สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ โดยการลดความเสี่ยงของการเสียหายและการหยุดทำงานที่ไม่คาดคิด การตรวจพบและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่สามารถช่วยให้บริษัทมีเวลาการผลิตมากขึ้น
- สามารถช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการหยุดทำงานและการซ่อมแซมฉุกเฉินได้ แม้ว่าการบำรุงรักษาเชิงป้องกันจะต้องใช้การลงทุนล่วงหน้า แต่ก็สามารถช่วยประหยัดเงินในระยะยาวโดยการหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่สูงที่เกี่ยวข้องกับการเสียหายและการซ่อมแซมฉุกเฉิน
- มีบทบาทสำคัญในการยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ การตรวจสอบและอัปเดตอุปกรณ์และซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทำงานได้อย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงของการเสียหายใหญ่หรือการเสียหายก่อนเวลาอันควร
- ช่วยส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-WASTE) ที่ยากต่อการรีไซเคิล การยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ช่วยลดการใช้ทรัพยากรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ขั้นตอนในการดำเนินการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
- การวางแผนและกำหนดตารางเวลาสำหรับการบำรุงรักษาเชิงป้องกันเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้มั่นใจว่าการบำรุงรักษาจะดำเนินการอย่างสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพ การกำหนดตารางเวลาที่ชัดเจนและการติดตามผลการดำเนินการสามารถช่วยให้การบำรุงรักษาเชิงป้องกันเป็นไปอย่างราบรื่น
- การตรวจสอบและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของอุปกรณ์และระบบเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้สามารถติดตามและประเมินผลการบำรุงรักษาเชิงป้องกันได้ การบันทึกข้อมูลสามารถช่วยให้สามารถระบุแนวโน้มและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า
- การดำเนินการบำรุงรักษาเชิงป้องกันรวมถึงการตรวจสอบและทำความสะอาดอุปกรณ์ การเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพ การอัพเดทซอฟต์แวร์ และการสำรองข้อมูล การดำเนินการบำรุงรักษาเชิงป้องกันอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบได้
- การประเมินผลการบำรุงรักษาเชิงป้องกันและการปรับปรุงกระบวนการเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การบำรุงรักษาเชิงป้องกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น การประเมินผลสามารถช่วยให้สามารถระบุจุดอ่อนและปรับปรุงกระบวนการเพื่อให้การบำรุงรักษาเชิงป้องกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของ PREVENTIVE MAINTENANCE
การเพิ่มประสิทธิภาพของการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PREVENTIVE MAINTENANCE) สามารถทำได้โดยการปรับปรุงหลาย ๆ ด้าน ดังนี้
- การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล การบันทึกข้อมูลหลังการซ่อมบำรุงทุกครั้งเป็นสิ่งสำคัญ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการซ่อมบำรุง และปรับปรุงแผนการบำรุงรักษาในอนาคตได้อย่างแม่นยำ การคำนวณค่า MEAN TIME BEFORE FAILURE (MTBF) จะช่วยให้ทราบถึงระยะเวลาที่เครื่องจักรสามารถทำงานได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหาย
- การปรับปรุงแผนการบำรุงรักษาให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานจริงของเครื่องจักร เช่น การปรับเปลี่ยนความถี่ในการบำรุงรักษาตามข้อมูลที่ได้รับจากการบันทึกและวิเคราะห์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการบำรุงรักษา
- การนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาใช้ในการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลของเครื่องจักรแบบเรียลไทม์ จะช่วยให้สามารถคาดการณ์และวางแผนการบำรุงรักษาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลดเวลาหยุดทำงานและเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่องจักร
- การฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้และทักษะในการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน และการมีส่วนร่วมของพนักงานในกระบวนการบำรุงรักษา จะช่วยให้การบำรุงรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
- การเลือกใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับงาน จะช่วยลดการสึกหรอและความเสียหายของเครื่องจักร ทำให้การบำรุงรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การวางแผนและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดเตรียมอะไหล่และอุปกรณ์สำรอง การจัดสรรเวลาและบุคลากรในการบำรุงรักษา จะช่วยให้การบำรุงรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่กระทบต่อการผลิต
ข้อเสียของ PREVENTIVE MAINTENANCE
การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PREVENTIVE MAINTENANCE) มีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณาด้วย ดังนี้
- การบำรุงรักษาเชิงป้องกันต้องใช้ทรัพยากร ทั้งในด้านเวลาและเงินทุน ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ บางครั้งค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอาจสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น
- การวางแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกันอาจทำให้เกิดการบำรุงรักษาบ่อยเกินไป ซึ่งอาจไม่จำเป็นและทำให้เสียเวลาและทรัพยากรโดยใช่เหตุ
- ความไม่ยืดหยุ่น การบำรุงรักษาเชิงป้องกันมักจะทำตามตารางเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับสภาพจริงของอุปกรณ์ บางครั้งอาจทำให้การบำรุงรักษาช้าเกินไปจนเกิดความเสียหาย หรือเร็วเกินไปจนทำให้เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
- การลงทุนในเทคโนโลยีและการฝึกอบรม การดำเนินการบำรุงรักษาเชิงป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพต้องการการลงทุนในเทคโนโลยีการตรวจสอบและการฝึกอบรมพนักงาน ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายและความซับซ้อนในการจัดการ
- การบำรุงรักษาเชิงป้องกันที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดการบำรุงรักษาไม่เพียงพอหรือมากเกินไป ซึ่งทั้งสองกรณีนี้สามารถนำไปสู่การเสียหายของอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
บทสรุป
PREVENTIVE MAINTENANCE คือกระบวนการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับอุปกรณ์หรือระบบต่าง ๆ โดยการดำเนินการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างเป็นระยะ ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์หรือระบบนั้น ๆ ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การบำรุงรักษาเชิงป้องกันมีประโยชน์มากมาย เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การลดต้นทุน การยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ และการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การดำเนินการบำรุงรักษาเชิงป้องกันอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบได้
กิตติวงษ์ จันทุม เป็นวิศวกรที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 15 ปีในอุตสาหกรรมสอบเทียบเครื่องมือวัด เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสอบเทียบอุปกรณ์วัดต่างๆ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดแรงดัน เครื่องวัดระดับเสียง และอื่นๆ กิตติวงษ์ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อรับรองความสามารถในการสอบเทียบตามมาตรฐานสากล