ปัจจุบันนี้ ระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI (Artificial Intelligence) ถูกนำมาใช้งานในหุ่นยนต์อุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถทำงานและตัดสินใจได้ด้วยตนเองอย่างอิสระ แตกต่างจากอดีตที่มนุษย์ต้องป้อนคำสั่งให้หุ่นยนต์ทำงานตามเป้าหมายที่กำหนด
เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายในธุรกิจทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใด ก็จะจัดเตรียมเทคโนโลยี เครื่องมือ และความร่วมมือกับคู่ค้า เพื่อพัฒนาศักยภาพของ หุ่นยนต์ AI ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ทำความรู้จักหุ่นยนต์ AI
หุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้นได้รับการติดตั้งเซ็นเซอร์หลากหลายประเภท ได้แก่ อุปกรณ์การมองเห็นเช่นกล้อง 2D/3D, เซ็นเซอร์ตรวจจับการสั่นสะเทือน, เซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุ, มิเตอร์วัดความเร่ง และเซ็นเซอร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เหล่านี้จะถูกวิเคราะห์และประมวลผลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถดำเนินการได้อย่างฉลาดและมีประสิทธิภาพ
สิ่งสำคัญที่ทำให้ หุ่นยนต์ AI มีความฉลาดคือการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งปัญญาประดิษฐ์เป็นระบบที่ช่วยให้เครื่องจักรสามารถเลียนแบบความสามารถขั้นสูงของมนุษย์ได้ เช่น การคิดวิเคราะห์ การเรียนรู้ และการแก้ปัญหา รักษ์โลก มีวิธีการหลายอย่างในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ การใช้อัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่อง, การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่, และการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์แบบลึก
ประเภทของหุ่นยนต์ AI
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับหุ่นยนต์จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมและปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเภทของ หุ่นยนต์ AI ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน มีดังนี้
- หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR)
หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR) สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดังนี้
- ตรวจจับสิ่งกีดขวางและวัตถุรอบๆ ด้วยกล้องและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เช่น กล้อง 3 มิติและเซ็นเซอร์ LiDAR
- วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากการตรวจจับเพื่อประมวลผลสถานการณ์
- ประเมินสถานการณ์และกำหนดแผนปฏิบัติงานที่เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมและภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
- เคลื่อนที่หรือดำเนินการตามแผนที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
การนำ AMR ที่ใช้ AI มาประยุกต์ใช้งานจะแตกต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น ในคลังสินค้า AMR สามารถหลีกเลี่ยงการชนกับพนักงานหรือสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ได้ พร้อมทั้งวางแผนเส้นทางการเคลื่อนที่ที่เหมาะสมเพื่อขนย้ายสินค้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
- หุ่นยนต์แขนกล (แขนหุ่นยนต์)
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับหุ่นยนต์แขนกลในการทำงาน โดยทำให้หุ่นยนต์สามารถปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูงขึ้น ระบบ AI จะวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ภาพ เช่น กล้อง 2 มิติและ 3 มิติ เพื่อแยกส่วนประกอบและทำความเข้าใจสภาพแวดล้อม รวมถึงตรวจจับและจำแนกวัตถุต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ
- หุ่นยนต์ชนิดที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้
หุ่นยนต์ชนิดที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้นั้น มีระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยให้สามารถตอบสนองและเรียนรู้จากการสื่อสารของมนุษย์ได้อย่างราบรื่น ทั้งการพูดคุยและการแสดงท่าทาง โดยไม่จำเป็นต้องมีการเรียนรู้จากการฝึกฝนจากพนักงานโดยตรง เทคโนโลยี AI ทำให้หุ่นยนต์สามารถปรับปรุงและเรียนรู้ได้เองจากการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง
อยู่ให้รอดเมื่อหุ่นยนต์แย่งงาน
ด้วย เทคโนโลยีสมัยใหม่ เราสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างสะดวกสบายผ่านโทรศัพท์มือถือ หุ่นยนต์ AI ก็มีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา ในตลาดแรงงาน บางอาชีพอาจต้องหายไป เนื่องจาก AI สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 อาจมีอาชีพกว่า 73 ล้านอาชีพที่จะหายไปจากผลกระทบของ AI แล้วเราจะอยู่อย่างไรให้มีงานทำเมื่อ AI เข้ามาทำงานแทนเรา มาดูกัน
- ปรับตัวและเรียนรู้การใช้ประโยชน์จาก AI
เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลืองานที่ยากและซับซ้อนเกินกว่ามนุษย์จะทำได้ด้วยตนเอง งานประเภทซ้ำซาก มีแบบแผนชัดเจน หรืองานที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลโดยปราศจากข้อผิดพลาด เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ AI สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรศึกษาและทำความเข้าใจถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของ AI เพื่อที่จะสามารถควบคุม กำกับดูแล และมอบหมายงานให้กับ AI ได้อย่างเหมาะสม
- ฝึกแก้ปัญหาโดยใช้วิจารณญาณ (Critical Thinking)
แม้ปัจจุบัน AI จะมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังคงมีข้อจำกัดบางประการเมื่อเทียบกับมนุษย์ เนื่องจาก AI ทำงานบนพื้นฐานของข้อมูลและรูปแบบที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ในขณะที่มนุษย์สามารถใช้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ในการประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน โดยพิจารณาจากหลักฐาน ข้อมูล และปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงปัจจัยด้านอารมณ์และจิตใจของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้คำตอบที่เป็นกลางและตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด
ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ควรผสมผสานการใช้ข้อมูลและการประมวลผลของ AI ร่วมกับทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ของมนุษย์ เพื่อให้ได้คำตอบที่ครอบคลุมและเหมาะสมที่สุด โดยมนุษย์ควรหมั่นฝึกฝนและพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์อยู่เสมอ เนื่องจากเป็นจุดแข็งที่สำคัญของมนุษย์เมื่อเทียบกับ AI
- เรียนรู้ที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ หุ่นยนต์ AI ยังไม่สามารถทำได้ดีเท่ามนุษย์ หากให้หุ่นยนต์ออกแบบบ้านแข่งกับมนุษย์ หุ่นยนต์อาจทำได้ดีในเรื่องโครงสร้าง แต่ความสวยงามของรูปแบบบ้าน เช่น ส่วนโค้งและเว้า หุ่นยนต์คงทำไม่ได้ดีเท่ามนุษย์ เนื่องจากเราเพียงแค่ป้อนข้อมูลเชิงตรรกะให้หุ่นยนต์เท่านั้น แต่ไม่ได้ให้จินตนาการกับมัน
ทุกคนควรฝึกทักษะความคิดสร้างสรรค์ เช่น ใช้ Design Thinking ซึ่งเป็นเทคนิคสำหรับนักออกแบบในการคิดหาคำตอบที่กำลังเป็นที่นิยม ควรฝึกทักษะอื่น ๆ ที่หุ่นยนต์ยังทำไม่ได้ด้วย เช่น ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ (People Skills) เพื่อทำงานและสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างเข้าใจ และทักษะการเจรจาต่อรอง (Negotiation Skills) ทักษะเหล่านี้เรียกว่า Soft Skills ซึ่งมีความจำเป็นต่อการทำงานในปัจจุบัน กระบวนการผลิตสมัยใหม่ และจะมีความสำคัญมากขึ้นในยุคที่หุ่นยนต์เข้ามาแย่งงานมนุษย์ เนื่องจากเป็นทักษะที่หุ่นยนต์ยังไม่สามารถพัฒนาได้ การปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงการถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์ คุณควรยอมรับการเปลี่ยนแปลง กล้าปรับเปลี่ยนตนเอง และพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีนี้คุณจะกลายเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อโลกใบนี้
หุ่นยนต์ AI กับขีดความสามารถในการทำงาน
การพัฒนาให้ หุ่นยนต์ AI มีปัญญาประดิษฐ์อย่างแท้จริงนั้นต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลายประการ ได้แก่ความสามารถในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ รวมถึงการมีจริยธรรมและมนุษยธรรมในการปฏิบัติงาน เพื่อให้ปัญญาประดิษฐ์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด มาดูกันว่าขีดความสามารถในการทำงานของหุ่นยนต์นั้นมีอะไรบ้าง
- วิทยาการหุ่นยนต์และการเรียนรู้ของเครื่อง
หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเรียนรู้ของเครื่อง หุ่นยนต์สามารถนำข้อมูลและประสบการณ์ตรงจากสภาพแวดล้อมมาวิเคราะห์และปรับปรุงเส้นทางการทำงานของตนเอง ทำให้หุ่นยนต์สามารถแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเรียนรู้ของเครื่องจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มศักยภาพ ความสามารถในการปฏิบัติงานของหุ่นยนต์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ
- การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP)
การประมวลผลภาษาธรรมชาติ หรือ NLP เป็นสาขาหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์สามารถทำความเข้าใจและประมวลผลภาษามนุษย์ได้ทั้งการพูดและการเขียน ระบบ NLP มีความสามารถในด้านต่างๆ ดังนี้:
- ตอบคำถามที่มนุษย์ซักถาม เช่น ผู้ช่วยเสมือนจริงสำหรับธนาคารหรือร้านค้าออนไลน์
- รู้จำและแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ เพื่อใช้ควบคุมอุปกรณ์ด้วยคำสั่งเสียง
- วิเคราะห์และระบุอารมณ์ของผู้พูดจากน้ำเสียงหรือคำพูด เช่น โกรธ เศร้า หรือยินดี
เทคโนโลยี NLP ทำให้หุ่นยนต์ AI สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้าใจความต้องการ และตอบสนองได้อย่างเหมาะสม จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้มากในธุรกิจบริการ ค้าปลีก สาธารณสุข และสถานบริการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความบันเทิงให้แก่ผู้ใช้บริการ
- AI การสนทนา
เทคโนโลยี AI การสนทนาใช้ประโยชน์จากการประมวลภาษาธรรมชาติ (NLP) และการเรียนรู้ของเครื่อง เพื่อยกระดับความสามารถในการโต้ตอบของหุ่นยนต์ AI กับมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น เป้าหมายของการใช้ AI การสนทนากับหุ่นยนต์มนุษย์อัจฉริยะ (AMR) หรือหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ คือการทำให้การสื่อสารระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่นและเหมือนกับการพูดคุยกับมนุษย์จริง ๆ ในทุกครั้งที่มีการโต้ตอบกัน หุ่นยนต์จะรับข้อความ วิเคราะห์ ตอบกลับ และปรับปรุงความสามารถเพื่อรองรับการสนทนาครั้งต่อไป
สรุป
หุ่นยนต์ AI ระบบปัญญาประดิษฐ์ได้พลิกโฉมวงการอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีไปอย่างสิ้นเชิง โดยนำพาหุ่นยนต์ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดจากการเป็นเพียงหุ่นยนต์ทำงานตามคำสั่งธรรมดา มาสู่การเป็นหุ่นยนต์อัจฉริยะที่สามารถคิดวิเคราะห์ และตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ด้วยการผนวกเอาระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ทรงประสิทธิภาพเข้ากับหุ่นยนต์
ส่งผลให้หุ่นยนต์สามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงมีความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงซ้อนคำนวณข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การเติบโตของหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์นับเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมหัศจรรย์

กิตติวงษ์ จันทุม เป็นวิศวกรที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 15 ปีในอุตสาหกรรมสอบเทียบเครื่องมือวัด เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสอบเทียบอุปกรณ์วัดต่างๆ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดแรงดัน เครื่องวัดระดับเสียง และอื่นๆ กิตติวงษ์ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อรับรองความสามารถในการสอบเทียบตามมาตรฐานสากล