กากน้ำตาล มีประโยชน์อย่างไร มีคุณค่าทางโภชนาการจริงหรือไม่

กาก น้ำตาล

กากน้ำตาล เป็นสารที่เราคุ้นเคยดีในอุตสาหกรรมอ้อยและการผลิตน้ำตาล ซึ่งมีประโยชน์หลายด้านอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นส่วนที่เหลือจากกระบวนการผลิตน้ำตาล แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบถึงคุณค่าทางโภชนาการของกากน้ำตาลอย่างเต็มตัว กากน้ำตาลมีระดับพลังงานต่ำถึงปานกลางขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำที่ปรากฏอยู่ในกากน้ำตาล และมีโพแทสเซียมและน้ำในระดับสูง เป็นสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างสูง ไม่ควรมองข้ามคุณค่าทางโภชนาการและสุขภาพที่มีอยู่ในกากน้ำตาล แม้จะเป็นส่วนที่เหลือจากกระบวนการผลิตน้ำตาลก็ตาม ควรนำมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในอาหารหรือในการผลิตผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อสร้างคุณค่าทางโภชนาการและสุขภาพที่ดีให้กับมนุษย์อย่างแท้จริง

กากน้ำตาล คืออะไร?

กากน้ำตาล คือหมายถึงน้ำเชื่อมที่เข้มข้น ซึ่งเรานิยมใช้ในการเพิ่มความหวานให้กับอาหาร ขนม หรือเครื่องดื่มต่าง ๆ กากน้ำตาลนี้เป็นผลที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลทราย โดยการต้มน้ำอ้อยจนเข้มข้น และทิ้งให้ตกสลัดให้เป็นน้ำตาลทราย กากน้ำตาลก็คือส่วนที่เหลืออยู่หลังจากการตกสลัดนั้น ๆ ซึ่งมักจะมีความหวานและรสชาติเข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ของมัน

ประเภทของกากน้ำตาล

ประเภทของกากน้ำตาลแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ๆ ที่มีคุณสมบัติและลักษณะที่แตกต่างกันไปตามกระบวนการผลิตดังนี้

  • กากน้ำตาลอ่อน (Light molasses) ได้จากการเคี่ยวน้ำอ้อยครั้งแรก มีสีอ่อนและรสหวานที่สุด มักนิยมใช้ในการอบขนมเนื่องจากมีความหวานมาก
  • กากน้ำตาลเข้ม (Dark molasses) ได้จากการเคี่ยวน้ำอ้อยครั้งที่สอง มีความข้นมากกว่าและรสหวานน้อยลง สามารถใช้ในการอบขนมได้ แต่มักมีการใช้เพื่อแต่งสีและกลิ่นมากกว่า
  • กากน้ำตาลดำ (Blackstrap molasses) ได้จากการเคี่ยวน้ำอ้อยครั้งที่สาม มีความข้นหนืดมากที่สุดและมีสีดำเข้ม รสหวานเพียงแค่ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และมักมีรสขมปนอยู่ด้วย ส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นอาหารสัตว์หรือในอุตสาหกรรมอาหาร

การแบ่งประเภทของกากน้ำตาล ราคาส่งช่วยให้เราเลือกใช้สำหรับการใช้งานต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมตามความต้องการและลักษณะของผลิตภัณฑ์ ERP ที่ต้องการผลิตในแต่ละกรณี

ประโยชน์ของ กาก น้ำตาล

ประโยชน์ของกากน้ำตาล

  • การผลิตเอทานอล กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเอทานอล ซึ่งเป็นส่วนผสมของน้ำมันเบนซิน 91 หรือ 95 และแก๊สโซฮอล์ โดยสามารถผลิตเอทานอลได้ประมาณ 250 ลิตรต่อตันของกากน้ำตาล
  • การใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น การผลิตแอลกอฮอล์ และสุรา การผลิตกรดมะนาว กรดน้ำส้ม และกรดแลคติก การผลิตผงชูรส ซอส และซีอิ๊ว การผลิตยีสต์ และขนมปัง และการผลิตอาหารสัตว์
  • การใช้ในการหมักและการผสมอาหาร กากน้ำตาลนำมาใช้ในการหมักหญ้าหรือผสมในอาหารข้นเพื่อเพิ่มแหล่งคาร์โบไฮเดรต ช่วยกระตุ้นการหมักให้เกิดรวดเร็วมากขึ้น และช่วยปรับปรุงรสของอาหาร ส่งเสริมการเติบโตของแบคทีเรียในกระเพาะ
  • การใช้ในการผลิตปุ๋ย กากน้ำตาลเป็นส่วนผสมของปุ๋ยหมักหรือสารปรับปรุงดิน เนื่องจากมีธาตุอาหารที่ครบถ้วน
  • การใช้ในการผลิตน้ำมักชีวภาพ กากน้ำตาลเป็นส่วนผสมของน้ำมักชีวภาพที่ช่วยให้จุลินทรีย์ผลิตกรดเติบโต และช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทางธาตุอาหารและกลิ่นของน้ำมัก
  • การส่งออกเป็นอุตสาหกรรม กากน้ำตาลเป็นผลพลอยได้ที่ส่งรายได้ให้แก่อุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล โดยการส่งออกไปยังต่างประเทศเพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมและการเกษตร โดยเป็นอันดับ 2 ของโลก หลังจากประเทศบราซิล เนื่องจากบราซิลเป็นประเทศผลิตน้ำตาลอันดับแรกของโลก

ที่มาของกากน้ำตาล มีกระบวนการผลิตจากน้ำตาลทรายดิบ

กากน้ำตาล (Molasses) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลทราย โดยการผลิตน้ำตาลทราย 1 ตัน จะใช้น้ำอ้อยดิบ 10 ตัน และเกิดผลพลอยได้ของกากน้ำตาลประมาณ 50 กิโลกรัม กระบวนการผลิตกากน้ำตาลจากน้ำตาลทรายดิบมีดังนี้

  • การสกัดน้ำอ้อยจากลำอ้อยด้วยชุดหีบรีดน้ำอ้อยออกมา (Juice Extraction) โดยกากอ้อยหรือชานอ้อยที่เหลือจะถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับหม้อไอน้ำ
  • การทำใส (Juice Purification) โดยนำน้ำอ้อยเข้าสู่กระบวนการทำความสะอาด เช่น การผ่านเครื่องกรอง การต้มให้ความร้อน และการเติมปูนขาว เพื่อให้ได้น้ำอ้อยที่มีลักษณะใส และไม่มีสารแขวนลอย
  • การระเหย (Evaporation) โดยนำน้ำต้มเข้าสู่หม้อต้ม เพื่อระเหยน้ำออก จนได้น้ำอ้อยเข้มข้น หรือที่เรียกว่า น้ำเชื่อม (Syrup)
  • การเคี่ยว (Crystallization) โดยนำน้ำเชื่อม (Syrup) เข้าหม้อต้มเคี่ยว จนน้ำตาลตกผลึกเป็นเกล็ด เรียกน้ำตาลนี้ว่า น้ำตาลทรายดิบ ซึ่งรวมอยู่กับกากน้ำตาลที่ไม่ตกผลึก หรือเรียกว่า messecuite ขั้นตอนนี้ ส่งผลให้เกิดกากน้ำตาล
  • การปั่นแยก (Separation) โดยนำส่วนผสมของเกล็ดน้ำตาลและกากน้ำตาลมาปั่นแยกออก จนได้น้ำตาลทรายดิบและกากน้ำตาลในที่สุด

วิธีทำกากน้ำตาล

วิธีการผลิตกากน้ำตาลที่แท้จริงเริ่มต้นด้วยการเคี่ยวน้ำอ้อยจนเข้มข้นและตกผลึกน้ำตาลออกมา ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้ได้กากน้ำตาลที่มีคุณภาพสูงและมีความเข้มข้น น้ำตาลที่ตกผลึกจะถูกแยกออกเพื่อให้ได้กากน้ำตาลที่แท้จริง ส่วนสารละลายที่เหลืออยู่จะเป็นกากน้ำตาลที่มีสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งมีคุณค่าทางเศรษฐกิจและสามารถนำฟอร์มาลีนมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย

ในกระบวนการผลิตนี้ หากใช้น้ำอ้อยปริมาณมาก การเคี่ยวน้ำตาลจนตกผลึกและแยกน้ำตาลออกจะให้ปริมาณกากน้ำตาลมากขึ้นเช่นกัน แต่หากมีปริมาณน้ำอ้อยไม่มากมาย การเคี่ยวเพียงเล็กน้อยเพื่อให้มีสารละลายสีน้ำตาลใกล้เคียงกับกากน้ำตาลจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเช่นกัน โดยผลิตกากน้ำตาลเทียมหรือผสมก็เป็นทางเลือกอีกอย่างหนึ่ง แม้จะไม่ใช่กากน้ำตาลที่แท้จริง แต่ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณค่าทางโภชนาการ กาก น้ำตาล

คุณค่าทางโภชนาการของกากน้ำตาล

คุณค่าทางโภชนาการของกากน้ำตาลมีความสำคัญและมีคุณค่าอาหารที่หลากหลายภายในนั้น เมื่อเทียบกับน้ำตาลทรายทั่วไป กากน้ำตาลมีการสารพัฒนาทางโภชนาการมากขึ้น เนื่องจากมีส่วนผสมของวิตามินและแร่ธาตุซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายอย่างแท้จริง โดยที่กากน้ำตาลในปริมาณ 1 ช้อนชาหรือประมาณ 20 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 58 แคลอรี และมีคุณค่าทางโภชนาการต่อไปนี้

  • แมงกานีส: 13 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
  • แมกนีเซียม: 12 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
  • คอปเปอร์: 11 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
  • วิตามิน B-6: เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
  • ซีลีเนียม: 6 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
  • โพแทสเซียม: 6 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
  • ธาตุเหล็ก: 5 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
  • แคลเซียม: 3 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

ดังนั้น การบริโภคกากน้ำตาลไม่เพียงแค่ช่วยให้ได้พลังงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประโยชน์ทางโภชนาการต่าง ๆ ที่สามารถสนับสนุนสุขภาพร่างกายได้อย่างครบถ้วน

กากน้ำตาล แตกต่างจากน้ำตาลทรายหรือไม่

การรับประทานกากน้ำตาลควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่ามันแตกต่างกับการบริโภคน้ำตาลทรายอย่างไร แม้ว่ากากน้ำตาลจะมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าน้ำตาลทรายที่เราคุ้นเคยกัน แต่การรับประทานกากน้ำตาลในปริมาณมากอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพได้ เช่นเดียวกับการเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน อ้วน และโรคหัวใจ นอกจากนี้ การบริโภคกากน้ำตาลอาจทำให้ระบบการย่อยอาหารของร่างกายมีปัญหา และเสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องเสียได้

นักโภชนาการส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ใช้กากน้ำตาลเป็นอาหารเสริมหรือเพิ่มค่าทางสารอาหาร เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ แต่อาจใช้กากน้ำตาลเพื่อเพิ่มความหวานในการปรุงอาหารเป็นทางเลือกได้ในบางกรณี ควรระมัดระวังและควบคุมปริมาณการบริโภคอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาสุขภาพไว้ให้ดี

บทสรุป

กากน้ำตาล เป็นผลพลอยที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต แต่ยังมีความสำคัญในอุตสาหกรรมและมีประโยชน์มากมายอีกด้วย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเพื่อเป็นทางเลือกที่ดีให้แก่เกษตรกรเป็นตัวช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของอาหาร แต่ยังมีคุณสมบัติที่ทำให้เป็นที่ต้องการในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะในการใช้เป็นปุ๋ยเพื่อปรับปรุงคุณภาพดินและการเจริญเติบโตของพืช นอกจากนี้ยังมีการใช้ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น เครื่องดื่ม และสารเคมีที่ใช้ในการผลิต

บทความน่าสนใจ